สงครามหมู (ค.ศ. 1859)
สงครามหมู | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ข้อเสนอแบ่งเส้นเขตแดน: เส้นแบ่งเขตโดยใช้ช่องแคบฮาโร (Haro Strait) เป็นเกณฑ์ เสนอโดยฝ่ายสหรัฐ เส้นแบ่งเขตโดยใช้ช่องแคบโรซาริโอ (Rosario Strait) เป็นเกณฑ์ เสนอโดยฝ่ายบริเตน เส้นแบ่งเขตโดยใช้ช่องแคบซานฮวน (San Juan Channel) เป็นเกณฑ์ ซึ่งประณีประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝั่ง เส้นดังกล่าววาดตามแผนที่ในเวลานั้น เขตแดนในปัจจุบันแบ่งออกเป็นเส้นตรงและมีความคล้ายคลึงกับข้อเสนอในเส้นสีนํ้าเงิน ในขณะที่เขตแดนฝั่งตะวันออกของเทศมณฑลซานฮวน มีความคล้ายคลึงกับข้อเสนอในเส้นสีแดง | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
ไซลาส เคซี วิลเลียม เอส. ฮาร์นี จอร์จ พิคเก็ท |
เจมส์ ดักลาส อาร์.แอล.ไบเนส เจฟฟรีย์ ฮอร์นบี | ||||||
กำลัง | |||||||
กำลังพล 461 นาย ปืนใหญ่ 14 กระบอก |
กำลังพล 2,140 นาย เรือรบ 5 ลำ ปืนใหญ่ 70 กระบอก | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
หมู 1 ตัว |
สงครามหมู (อังกฤษ: Pig War) เป็นความขัดแย้งทางพรมแดนระหว่างสหรัฐและสหราชอาณาจักร ในบริเวณหมู่เกาะซานฮวน ระหว่างเกาะแวนคูเวอร์ (ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศแคนาดา) และรัฐวอชิงตัน ใน ค.ศ. 1859 สาเหตุที่มีการเรียกชื่อเช่นนี้ เป็นเพราะความขัดแย้งดังกล่าวเกิดจากการที่หมูตัวหนึ่งถูกยิงตาย ความขัดแย้งครั้งนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อุบัติการณ์หมู สงครามหมูและมันฝรั่ง ข้อขัดแย้งพรมแดนซานฮวน และ ข้อพิพาทพรมแดนนอร์ทเวสต์เทิร์น อนึ่ง แม้ความขัดแย้งครั้งนี้จะถูกเรียกว่าสงคราม แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีการสูญเสียในด้านใด ๆ ยกเว้นหมูตัวข้างต้นเท่านั้น
มูลเหตุ
[แก้]ความคลุมเครือด้านดินแดน
[แก้]การลงนามสนธิสัญญาออริกอนเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1846 ได้แก้ปัญหาข้อพิพาทพรมแดนออริกอนด้วยการแบ่งพรมแดนของเทศมณฑลออริกอนและเขตโคลัมเบีย ระหว่างสหรัฐกับสหราชอาณาจักรตามแนวเส้นขนานที่สี่สิบเก้าละติจูดเหนือ ถึงกึ่งกลางของช่องแคบ (Channel) ซึ่งแยกแผ่นดินบนพื้นทวีปออกจากเกาะแวนคูเวอร์ และตัดผ่านกึ่งกลางของช่องแคบข้างต้นและช่องแคบฆวน เด ฟูกาไปจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิก[1]
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว มีช่องแคบ (Strait) อยู่สองช่องแคบที่สามารถนับได้ว่าเป็นจุดกึ่งกลางของช่องแคบนั้น คือ ช่องแคบฮาโร ตามแนวฝั่งตะวันตกของหมู่เกาะซานฮวน และช่องแคบโรซาริโอ ตามแนวฝั่งตะวันออก[2]
ในขณะนั้น (ค.ศ. 1846) ภูมิศาสตร์ของภูมิภาคดังกล่าวยังคงมีความคลุมเครืออยู่บ้าง แผนที่ที่แพร่หลายที่สุดในเวลานั้น คือ แผนที่ของจอร์จ แวนคูเวอร์ ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1798 และของชาลส์ วิลค์ส ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1845 แผนทั้งสองฉบับต่างก็มีความคลุมเครือเกี่ยวบริเวณชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะแวนคูเวอร์และหมู่เกาะกัลฟ์ ดังนั้น อาณาบริเวณของช่องแคบฮาโรก็ถือว่าคลุมเครือเช่นกัน[3]
ใน ค.ศ. 1856 สหรัฐและบริเตนได้ตั้งคณะกรรมาธิการพรมแดนขึ้นเพื่อสะสางปัญหาหลายประการเกี่ยวกับพรมแดนระหว่างประเทศ รวมถึงอาณาเขตทางน้ำจากช่องแคบจอร์เจียถึงช่องแคบฆวน เด ฟูกา ฝ่ายบริเตนแต่งตั้งเจมส์ ชาลส์ พรีวอสต์ เป็นเป็นคณะกรรมาธิการคนที่หนึ่ง จอร์จ เฮนรี ริชาร์ด เป็นคณะกรรมาธิการคนที่สอง และวิลเลียม เอ. จี. ยัง (William A. G. Young) เป็นเลขานุการ ส่วนฝ่ายสหรัฐแต่งตั้ง อาชิบาลด์ แคมป์เบลล์ (Archibald Campbell) เป็นคณะกรรมาธิการคนที่หนึ่ง[4] จอหน์ พาร์ค เป็นคณะกรรมาธิการคนที่สอง และวิลเลียม เจ. วอร์เรน (William J. Warren) เป็นเลขานุการ คณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่ายพบกันเป็นครั้งแรกบนเรือหลวงแซทเทิลไลท์ ของสหราชอาณาจักรในวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1857[4] ขณะที่เรือกำลังจอดเทียบท่าในท่าเรือเอสไคว์มอลต์ฮาเบอร์ ทั้งสองฝ่ายพบปะกันอีกหลายครั้งในปีเดียวกันที่ท่าเรือเอสไคว์มอลต์ฮาเบอร์และท่าเรือนานไอโม โดยในช่วงว่างเว้นจากการประชุม ทั้งสองฝ่ายจะใช้จดหมายเป็นสื่อกลางในการหารือ ปัญหาอาณาเขตทางน้ำถูกนำมาอภิปรายตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนธันวาคม พรีวอสต์ยืนกรานนับตั้งแต่การประชุมครั้งแรกว่าลักษณะทางภูมิศาสตร์ของช่องแคบโรซาริโอตรงตามเงื่อนไขของสนธิสัญญา และเจตนารมณ์ของผู้ร่างสนธิสัญญา แคมป์เบลล์เองก็มีแนวคิดเช่นเดียวกันนี้กับช่องแคบฮาโร[ต้องการอ้างอิง]
ตามความเห็นของพรีวอสต์ "ช่องแคบ" ที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาจะต้องมีคุณสมบัติสามประการดังต่อไปนี้ คือ:
- จะต้องเป็นตัวแบ่งเกาะแวนคูเวอร์ออกจากภาคพื้นทวีป
- ต้องมีแนวพรมแดนไปในทางทิศใต้ (Southerly) และ
- ต้องสะดวกต่อการคมนาคมทางเรือ
พรีวอสต์เขียนไว้ว่า มีแต่ช่องแคบโรซาริโอเท่านั้นที่เข้าข่ายเงื่อนไขสามข้อนี้ ในขณะแคมป์เบลล์แย้งว่า นิยาม "ทิศใต้" ในสนธิสัญญานี้ มีความหมายตามความเข้าใจทั่วไป ที่ว่าช่องแคบโรซาริโอมิได้เป็นตัวแบ่งแผ่นดินภาคพื้นทวีปออกจากเกาะแวนคูเวอร์ หากแต่เป็นหมู่เกาะซานฮวนออกจากเกาะลัมมิ เกาะไซเพรส เกาะฟิเดลโก และเกาะอื่น ๆ แคมป์เบลล์ยังโต้อีกว่าการคมนาคมทางเรือไม่ได้มีเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ และถึงแม้จะนำปัจจัยนั้นมาพิจารณา ช่องแคบฮาโรก็ยังมีคุณสมบัติที่ดีกว่า เพราะมีความกว้างและมีเส้นทางเป็นเส้นตรง (Direct passage) มากกว่าช่องแคบโรซาริโอ ท้ายที่สุดแล้ว เขาท้าทายให้พรีวอสต์นำหลักฐานที่เสนอว่าคณะผู้ร่างสนธิสัญญาต้องการให้ใช้ช่องแคบโรซาริโอเป็นตัวแบ่งพรมแดน พรีวอสต์ตอบโต้ด้วยการอ้างถึงบรรดาแผนที่ของฝ่ายสหรัฐที่แสดงว่าเส้นพรมแดนพาดผ่านช่องแคบโรซาริโอ รวมไปถึงแผนที่ของจอหน์ ซี. เฟรมอนต์ ที่ได้รับการแจกจ่ายและจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในรัฐบาลสหรัฐ และแผนที่อีกฉบับที่จัดทำโดยจอหน์ บี. เพรสตัน (John B. Preston) เจ้าพนักงานรังวัด (Surveyor General) ประจำรัฐออริกอนใน ค.ศ. 1852 สำหรับเหตุผลข้ออื่น ๆ พรีวอสต์ได้ทำการยกเหตุผลเกี่ยวกับความสะดวกต่อการคมนาคมทางเรือของช่องแคบโรซาริโอ ความไม่สะดวกสำหรับการคมนาคมของช่องแคบระหว่างเกาะลัมมิ เกาะไซเพรส และเกาะฟิเดลโก และการที่แนวพรมแดนที่พาดผ่านช่องแคบโรซาริโอจะเป็นในไปในทางทิศใต้ ในขณะที่แนวพรมแดนที่พาดผ่านช่องแคบฮาโรจะเป็นในไปในทางทิศตะวันตกขึ้นมาประกอบอีกครั้งด้วย ทั้งสองฝ่ายประชุมหารือปัญหาต่อไปจนถึงเดือนธันวาคม ค.ศ. 1857 เมื่อเป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่ายหนึ่ง ในวันที่ 3 ธันวาคม พรีวอสต์จึงยื่นข้อเสนอสุดท้ายในการประชุมครั้งที่หก โดยเขาเสนอเสนอเส้นพรมแดนแบบประนีประนอม ซึ่งทอดผ่านช่องแคบซานฮวน อันจะทำให้สหรัฐได้เกาะหลัก ๆ ทั้งหมด เว้นแต่เกาะซานฮวน ข้อเสนอนี้ถูกปัดตกไป และคณะกรรมาธิการก็มีอันต้องหยุดชะงักลง โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นพ้องที่จะกลับไปรายงานผลให้รัฐบาลของตนรับทราบ ดังนั้นความคลุมเครือในด้านพรมแดนทางน้ำจึงยังคงอยู่เช่นเดิม[5]
ด้วยความคลุมเครือนี้เอง ทั้งสหรัฐและสหราชอาณาจักรจึงต่างก็อ้างสิทธิ์อำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะซานฮวน[6] โดยในระหว่างช่วงเวลาที่มีการถกเถียงเรื่องอำนาจอธิปไตยอยู่นี้ บริษัทฮัดสันเบย์ของบริเตน ได้เข้ามาดำเนินกิจการบนตัวเกาะซานฮวน และใช้พื้นที่ของเกาะเป็นทุ่งเลี้ยงแกะ ขณะเดียวกัน เมื่อถึงกลางปี 1859 ก็มีผู้ตั้งรกรากชาวอเมริกันจำนวนยี่สิบห้าถึงยี่สิบเก้ารายเดินทางมาถึงเกาะซานฮวน[2][7]
ความสำคัญของเกาะซานฮวนไม่ได้อยู่ที่ขนาด แต่เป็นในด้านการทหาร ในขณะที่ฝ่ายบริเตนมีป้อมฟอร์ตวิกตอเรียตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะแวนคูเวอร์ ซึ่งสามารถมองเห็นช่องแคบฆวน เด ฟูกา ปากทางเข้าของช่องแคบฮาโร อันจะนำไปสู่ช่องแคบจอร์เจีย ชาติที่สามารถครอบครองหมู่เกาะซานฮวนจะสามารถครอบงำเหล่าช่องแคบต่าง ๆ ที่เป็นตัวเชื่อมช่องแคบฆวน เด ฟูกากับช่องแคบจอร์เจียได้[8]
บริบททางการเมือง
[แก้]จอร์จ บี. แม็คเคลเลน นายทหารผู้เป็นเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมชั้นของจอร์จ พิคเก็ท เมื่อครั้งศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ อ้างว่าพลจัตวา (ต่อมาได้เลี่อนยศเป็นพลตรีพิเศษ) วิลเลียม เอส. ฮาร์นี และพิคเก็ทสมคบคิดอย่างลับ ๆ กับคนกลุ่มหนึ่งเพื่อก่อสงครามกับบริเตน โดยมีจุดประสงค์ในการสร้างศัตรูร่วม เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างรัฐทางเหนือและรัฐทางใต้ แต่พันตรี (ต่อมาได้เลี่อนยศเป็นพันเอก) แกรนวิลล์ โอ. ฮาลเลอร์ กล่าวหักล้างทฤษฎีของแม็คเคลเลน โดยฮาลเลอร์เห็นว่านายทหารทั้งสองต้องการก่อสงครามจริง แต่เป็นไปเพื่อดึงความสนใจของรัฐทางเหนือ เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐทางใต้ประกาศเอกราชได้[9]
ทฤษฎีของเขาเริ่มดูมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อมีผู้สังเกตว่าพันโท (ต่อมาได้เลี่อนยศเป็นพลตรี) ไซลาส เคซี รองผู้บังคับบัญชาของกรมทหารราบที่ 9 ถูกลดบทบาทลงให้ไปทำหน้าที่สนับสนุน ร้อยเอกจอร์จ พิคเก็ท ผู้ได้รับอำนาจควบคุมอย่างอิสระเหนือพื้นที่จำนวนมากจากฮาร์นี นอกจากนี้ ฮาร์นียังมองข้ามเขาไปขณะกำลังพิจารณาว่าควรมอบอำนาจเหนือพื้นที่อันกว้างขว้างดังกล่าวนั้นแก่ผู้ใดด้วย[9]
ในอีกมุมมองหนึ่ง อาจจะกล่าวได้ว่าพันโทเคซีไม่ได้ถูกลดบทบาทลงแต่อย่างใด เพราะเขาได้มอบหมายให้ไปบังคับการเรือกลไฟยูเอสเอส แมสซาชูเซตส์ เคซียังได้รับคำสั่งจากพันตรีฮาลเลอร์ให้ไปป้องกันและตรวจตราน่านน้ำบริเวณพูเก็ตซาวนด์ นอกจากนี้ เขาได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติการนอกเหนือคำสั่งได้ใช้โดยดุลยพินิจของตนเอง เพราะเขาเป็นนายทหารผู้มีประสบการณ์ (หนังสือเกี่ยวกับยุทธวิธีทหารราบที่เคซีเป็นผู้เขียน ได้ใช้เป็นหนังสือแบบเรียนที่โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ระหว่างช่วงสงครามกลางเมือง)[9]
อุบัติการณ์หมู
[แก้]ในวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1859 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 13 ปีที่สนธิสัญญาออริกอนมีผลบังคับใช้พอดี ความคลุมเครือดังกล่าวได้นำไปสู่ความขัดแย้งโดยตรงระหว่างสหรัฐและสหราชอาณาจักร โดยมีสาเหตุมาจากการที่นายไลแมน คัตลาร์ (Lyman Cutlar) เกษตรกรชาวอเมริกัน ผู้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่เกาะซานฮวน โดยอ้างสิทธิ์ในการอยู่อาศัยตามรัฐบัญญัติอ้างสิทธิ์ที่ดินได้เปล่า (Donation Land Claim Act) พบหมูตัวหนึ่งกำลังขุดคุ้ยและกินส่วนหัวของพืชผักในสวนของตนเอง[2][6][10] นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น นายไลแมนจึงบันดาลโทสะยิงหมูตัวนั้นจนถึงแก่ความตาย ปรากฎว่าหมูตัวนั้นเป็นของชาลส์ กริฟฟิน (Charles Griffin) ชาวไอริช ผู้ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทฮัดสันเบย์ ให้มาดูแลฟาร์มแกะบนเกาะ[2][6][10] นายชาลส์ยังเป็นเจ้าของหมูอีกหลายตัว ซึ่งเขาล้วนแต่ปล่อยให้พวกมันเดินเพ่นพ่านได้อย่างอิสระ ทั้งสองฝ่ายไม่มีเรื่องวิวาทกันจนกระทั้งเกิดเหตุยิงหมูนี้ขึ้น นายไลแมนเสนอจะจ่ายเงินชดเชยให้นายชาลส์เป็นจำนวน 10 ดอลลาร์สหรัฐ แต่นายชาลส์ไม่พอใจในข้อเสนอนี้ และเรียกเงินเป็นจำนวน 100 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากได้รับคำตอบดังกล่าว นายไลแมนจึงมองว่าตนไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่นายชาลส์แต่อย่างใด เพราะหมูของนายชาลส์รุกล้ำที่ดินของเขา เรื่องเล่าสำนวนหนึ่งที่ไม่มีแหล่งที่มาบอกว่านายไลแมนพูดกับนายชาลส์ว่า "มัน [หมายถึงหมูตัวที่ถูกยิงตาย] เข้ามากินมันฝรั่งของผม" โดยที่นายชาลส์ตอบกลับไปว่า "มันเป็นหน้าที่ของแกที่จะต้องเอามันฝรั่งออกไปไกล ๆ จากหมูของฉัน"[10] เมื่อทางการบริติชขู่จะจับกุมตัวนายไลแมน ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอเมริกันบนเกาะจึงเรียกร้องให้มีการการส่งกองทัพเข้ามาคุ้มกันพวกตน[ต้องการอ้างอิง]
การเข้ามามีส่วนร่วมของกองทัพ
[แก้]ในช่วงแรก พลจัตวา วิลเลียม เอส. ฮาร์นี ผู้บังคับบัญชาของมณฑลทหารออริกอน ได้มอบหมายให้ร้อยเอก จอร์จ พิคเก็ท และทหารอเมริกันอีกจำนวน 66 นาย จากกรมทหารราบที่ 9 ภายใต้การนำของเขานำกำลังไปตั้งไว้ในเกาะซานฮวน พร้อมคำสั่งให้กระทำทุกวิถีทางเพื่อมิให้ฝ่ายบริเตนสามารถขึ้นฝั่งได้ โดยมีเรือรบยูเอสเอส แมสซาชูเซตส์ ทำหน้าที่เป็นผู้พากองทหารของพิคเก็ทไปยังเกาะซานฮวน[2][6] ฝ่ายบริเตนกังวลว่าประชากรอเมริกันที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานโดยไม่ได้รับอนุญาตนี้จะยึดครองเกาะซานฮวนเอาไว้เองหากไม่มีผู้ใดขัดขวาง ทางบริเตนจึงส่ง เรือรบจำนวนสามลำ ภายใต้การบังคับบัญชาของนาวาเอก เจฟฟรีย์ ฮอร์นบี ไปยังเกาะซานฮวนเพื่อเป็นการถ่วงดุลกับฝ่ายอเมริกัน[2][6][10] ฮอร์นบีเรียกร้องให้พิคเก็ทถอนกำลังออกจากเกาะ แต่พิคเก็ทปฎิเสธ ฮอร์นบีจึงขู่ว่าจะนำทหารฝ่ายตนยกพลขึ้นบก มีการอ้างว่าพิคเก็ทได้บอกกับทหารในบังคับบัญชาของตนว่า "อย่ากลัวปืนใหญ่ของพวกนั้น" ("Don't be afraid of their big guns") และพูดถึงคำขู่ของฝ่ายบริเตนอย่างเย้ยหยันว่า "เราจะทำให้ที่นี้กลายเป็นบังเกอร์ฮิลล์" ทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ[11] ในช่วงแรก พิคเก็ทกับกองร้อยทหารราบและทหารปืนใหญ่ตั่งมั่นอยู่ที่ฟาร์มแกะเบลล์วูของบริษัทฮัดสันเบย์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณแคทเทิลพอยท์ไลท์ในปัจจุบัน และอยู่ในระยะยิงของเรือหลวงแซทเทิลไลท์ของฝ่ายบริเตนพอดี เมื่อมีผู้ชี้ความผิดพลาดทางยุทธวิธีนี้ให้พิคเก็ททราบ เขาจึงสั่งให้กองร้อยปืนใหญ่เคลื่อนพลไปทางที่สูง (High ground) ที่อยู่ทางทิศเหนือ ซึ่งสามารถมองเห็นอ่าวกริฟฟินเบย์และช่องแคบฆวน เด ฟูกาได้ และไม่ไกลจากที่ตั้งเดิมเท่าใดนัก จากนั้นจึงมีการเริ่มสร้างแนวป้องกันเพื่อใช้เป็นกำบังให้กับปืนใหญ่[ต้องการอ้างอิง]
พิคเก็ทตั้งค่ายทหารอเมริกันอยู่ใกล้ทางใต้สุดของเกาะซานฮวน ปัจจุบันค่ายทหารนี้ถือเป็นหนึ่งในสองสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์บนตัวเกาะ โดยอีกสถานที่หนึ่งคือค่ายของเหล่าราชนาวิกโยธินแห่งราชนาวีบริติช ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของเกาะเดียวกัน ร้อยตรีเฮนรี มาร์ติน โรเบิร์ต ผู้พึ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยท์ ทำหน้าที่กำกับดูแลการก่อสร้างแนวป้องกันของค่ายทหารฝ่ายอเมริกัน ต่อมาเมื่อเกิดสงครามกลางเมืองอเมริกาขึ้น เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพของกองทัพโปโตแมค นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ประพันธ์หนังสือ โรเบิร์ตส์รูลส์ออฟออเดอร์ ด้วย[12][13] แนวป้องกันที่โรเบิร์ตเป็นผู้สร้างถือว่าเป็นแนวป้องกันที่สามารถรักษาสภาพเดิมไว้ได้อย่างดีที่สุดในสหรัฐ (ห่างออกไปทางตะวันออกของแนวป้องกันดังกล่าว คือที่ตั้งของเจคิลส์ลากูน [Jackle's Lagoon] ซึ่งตั้งชื่อตามจอร์จ เจคิล [George Jackle] ทหารนายหนึ่งที่มาประจำการอยู่บนเกาะนี้)[14][15]
สถานการณ์ยังคงบานปลายต่อไป เมื่อถึงวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1859 ก็ปรากฎว่ามีทหารอเมริกันจำนวน 461 นาย พร้อมกับ ปืนใหญ่ 14 กระบอก ภายใต้การบังคับบัญชาของพันโท ไซลาส เคซี ตั้งมั่นประจันหน้ากับเรือรบห้าลำของฝ่ายบริเตน โดยเรือแต่ละลำมีปืนใหญ่รวมกัน 70 กระบอก และบรรทุกทหารอีกกว่า 2,140 นาย[2][6][10]
เจมส์ ดักลาส ผู้ว่าการอาณานิคมเกาะแวนคูเวอร์ ได้สั่งการให้พลเรือตรี โรเบิร์ต แอล. ไบแนส นำหน่วยนาวิกโยทิน ขึ้นฝั่งที่เกาะซานฮวนและเข้าปะทะกับฝ่ายอเมริกันที่นำโดยพลจัตวาฮาร์นี (กองกำลังของฮาร์นีได้เข้ายึดครองเกาะมาตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1859 แล้ว) ทว่าไบแนสกลับปฎิเสธที่จะทำตามคำสั่ง เพราะเขามองว่า "การที่ชาติยิ่งใหญ่สองชาติจะทำสงครามกันเพราะเหตุทะเลาะวิวาทจากหมูตัวเดียว" เป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดี[6][10] ผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่ายได้รับคำสั่งที่โดยรวมแล้วมีใจความเหมือนกัน คือ "จงป้องกันตนเอง แต่อย่าเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อนเด็ดขาด" ทั้งทหารของฝ่ายบริติชและอเมริกันพูดจาเยาะเย้ยกันไปมา เพื่อหวังยั่วยุให้อีกฝ่ายยิงก่อน แต่ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็สามารถรักษาระเบียบวินัยไว้ได้ และไม่มีฝ่ายใดลั่นกระสุนออกมาเลย[ต้องการอ้างอิง]
บทสรุป
[แก้]เมื่อรัฐบาลของทั้งสองชาติทราบข่าวของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็มีท่าที่ตื่นตระหนกเป็นอันมาก และเริ่มดำเนินการเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ข้อพิพาทระหว่างประเทศนี้รุนแรงขึ้น[16]
ประธานาธิบดีเจมส์ บูแคนัน ส่งพลเอกวินฟิลด์ สก็อตไปเจรจากับผู้ว่าการดักลาส ในเดือนกันยายนเพื่อสะสางวิกฤตการณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นนี้[6][10] การเจรจานี้เป็นผลดีต่อสหรัฐ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐกำลังให้ความสนใจอยู่กับปัญหาท้องถิ่นนิยมที่กำลังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งต่อมาจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง[10] พลเอกวินฟิลด์เคยทำหน้าที่เป็นผู้สะสางปัญหาด้านพรมแดนของชาติทั้งสองในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1830 เขาเดินทางถึงซานฮวนในเดือนตุลาคม และเริ่มกระบวนการเจรจากับผู้ว่าการดักลาส[16]
ตามข้อตกลงของการเจรจา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะคงกำลังพลไม่เกิน 100 คนไว้บนเกาะในฐานะกองกำลังยึดครองร่วม จนกว่าจะสามารถหาข้อสรุปได้[6] ค่ายของฝ่ายบริติชถูกตั้งขึ้นตามแนวชายฝั่งทางเหนือของเกาะซานฮวน เพื่อให้ง่ายต่อการเดินทางและส่งเสบียง ส่วนค่ายของฝ่ายอเมริกันถูกตั้งขึ้นที่ทิศใต้บนทุ่งหญ้าพื้นสูงที่อยู่เหนือลม ซึ่งเป็นชัยภูมิที่เหมาะกับการตั้งปืนใหญ่ไว้ยิงเรือที่เดินทางเข้ามา[10] ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่กรมอุทยานสหรัฐยังคงเชิญธงยูเนียนแจ็กขึ้นและลงจากยอดเสาเหนือบริเวณค่ายของฝ่ายบริติชเป็นประจำ ทำให้เกาะซานฮวนเป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ที่แม้จะไม่มีสถานะทางการทูต แต่ข้ารัฐการของสหรัฐต้องนำธงชาติของประเทศอื่นเชิญขึ้นในสถานที่นั้น แม้การกระทำนี้จะมีจุดประสงค์เพื่อการรำลึกอย่างเดียวก็ตาม[ต้องการอ้างอิง]
ในช่วงของการยึดครองทางทหารร่วมกันระหว่างทั้งสองชาติ กองกำลังเล็ก ๆ ของฝ่ายบริติชและอเมริกันบนเกาะซานฮวนต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มักไปเยือนค่ายค่ายของอีกฝั่งเสมอ ๆ เมื่อถึงวาระฉลองวันหยุดประจำชาติของแต่ละฝ่าย และยังมีการแข่งขันกีฬาระหว่างกันอีกด้วย เจ้าหน้าที่กรมอุทยานสหรัฐกล่าวว่าภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดต่อสันติภาพบนเกาะคือ "เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก"[ต้องการอ้างอิง]
สภาวการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลากว่า 12 ปี ท้ายที่สุดแล้วความขัดแย้งนี้ก็ได้รับการสะสางลงด้วยดีและไม่มีการปะทะกันแต่อย่างใด เว้นเสียแต่การเผชิญหน้า (Confrontation) และการแสดงแสนยานุภาพทางทหารเพียงเท่านั้น โดยในช่วงก่อนที่ความขัดแย้งนี้จะได้รับการสะสาง รัฐบาลอาณานิคมท้องถิ่นพยายามโน้มน้าวรัฐบาลประเทศแม่ที่ลอนดอนให้ทำการยึดภูมิภาคพูเก็ตซาวนด์ทั้งหมดกลับคืนมา โดยอาศัยความชุลมุนของสงครามกลางเมืองอเมริกาเป็นตัวช่วย[17] ต่อมาใน ค.ศ. 1866 อาณานิคมเกาะแวนคูเวอร์ถูกผนวกเข้ากับอาณานิคมบริติชโคลัมเบีย กลายเป็นอาณานิคมบริติชโคลัมเบียที่สอง ใน ค.ศ. 1871 อาณานิคมนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแคนาดา (Dominion of Canada) ในปีเดียวกันนั้นเอง สหราชอาณาจักรและสหรัฐได้ลงนามในสนธิสัญญาวอชิงตัน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาในหลายด้านระหว่างชาติทั้งสอง ร่วมไปถึงปัญหาทางด้านพรมแดนด้วย หนึ่งในข้อสรุปของสนธิสัญญานี้คือสหรัฐและสหราชอาณาจักรตกลงที่จะสะสางปัญหาข้อพิพาทเกาะซานฮวนผ่านทางกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ โดยมีจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 แห่งเยอรมนีเป็นประธานคณะอนุญาโตตุลาการ จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มทรงมอบหมายคดีดังกล่าวให้สมาชิกคณะอนุญาโตตุลาการจำนวนสามคนวินิฉัย คดีนี้ได้รับการพิจารณาที่นครเจนีวาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีเต็ม[16] ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1872 คณะอนุญาโตตุลาการได้ตัดสินให้สหรัฐเป็นฝ่ายชนะ[2][6][10] โดยคณะอนุญาโตตุลาการได้มีมติยอมรับเส้นแบ่งเขตแดนทางน้ำโดยใช้ช่องแคบฮาโรที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของเกาะเป็นเกณฑ์ ซึ่งสหรัฐเป็นผู้เสนอ ส่วนข้อเสนอของฝ่ายบริเตนที่ให้ใช้ช่องแคบโรซาริโอที่อยู่ทางตะวันออกเป็นเกณฑ์เป็นอันตกไป
สหราชอาณาจักรถอนกำลังราชนาวิกโยธินออกจากเกาะในวันที่ 25 พฤศจิกายนของปีนั้น[2] ส่วนฝ่ายอเมริกันถอนกำลังออกไปไม่เกินเดือนกรฎาคม ค.ศ. 1874[2][6]
ปัจจุบันยังคงมีพิธีรำลึกสงครามหมูในอุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาติ เกาะซานฮวนเป็นประจำ[10]
บุคคลสำคัญในเหตุการณ์สงครามหมู
[แก้]- เฮนรี มาร์ติน โรเบิร์ต ผู้ประพันธ์หนังสือ โรเบิร์ตส์รูลส์ออฟออเดอร์ ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับระเบียบการในรัฐสภาที่นิยมใช้ที่สุดในสหรัฐ[18] ประจำการอยู่บนเกาะซานฮวนเกือบตลอดช่วงที่เกิดเหตุการณ์นี้[19]
- ร้อยเอก จอร์จ พิคเก็ท ผู้ต่อมาจะเป็นที่รู้จักจากเหตุการณ์พิคเก็ทส์ชาร์จในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้คุมการยกพลขึ้นบกของกองกำลังอเมริกันชุดแรก[19]
- นาวาเอก เจฟฟรีย์ ฮอร์นบี ผู้บังคับบัญชาของกองกำลังบริติชในช่วงแรก ต่อมาได้เลื่อนยศเป็นจอมพลเรือ ซึ่งเป็นชั้นยศสูงสุดในราชนาวีบริติช และมีชื่อเสียงในฐานะนักกลยุทธ์และผู้บัญชาการกองเรืออันโดดเด่น[ต้องการอ้างอิง]
ระเบียงภาพ
[แก้]-
ภาพถ่ายจากมุมของแนวป้องกันโรเบิร์ตส์ ซึ่งสามารถมองเห็นด้านใต้ของเกาะซานฮวน น้ำจากทางอ่าวกริฟฟินเบย์กำลังกระทบทุ่งหญ้า (ซ้าย) และช่องแคบฆวน เด ฟูกา ได้อย่างชัดเจน
-
ภาพวาดสีน้ำ แสดงภาพกองทัพสหรัฐขณะกำลังสร้างแนวป้องกันโรเบิร์ตส์บนเกาะซานฮวน
-
ภาพวาดสีน้ำของค่ายฝ่ายอเมริกันบนเกาะซานฮวน
-
ทิวทัศน์ของค่ายฝ่ายอเมริกัน
-
ธงยูเนียนแจ็กบนยอดเสาที่บริเวณค่ายฝ่ายบริติชในอุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาติ เกาะซานฮวน
-
ทหารบริติชถอนกำลังออกจากเกาะซานฮวน
ดูเพิ่ม
[แก้]- สงครามอรูสต็อกหรือ "ข้อพิพาทพรมแดนนอร์ทอีสเทิร์น"
- รายชื่อความขัดแย้งทางทหารในสหรัฐ
- รายชื่อความขัดแย้งทางทหารในประเทศแคนาดา
- ประวัติศาสตร์ทางการทหารของประเทศแคนาดา
- ประวัติศาสตร์ทางการทหารของสหราชอาณาจักร
- ประวัติศาสตร์ทางการทหารของสหรัฐ
- การฟื้นสัมพันธไมตรีครั้งใหญ่ การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจักรวรรดิบริติชในทศวรรษหลังจากเหตุการณ์นี้
- พอยท์โรเบิร์ตส์
- กรณีที่แปทริซ เหตุพิพาทระหว่างราชอาณาจักรบัลแกเรียและสาธารณรัฐเฮลเลนิกที่สอง ซึ่งมีเรื่องเล่าสำนวนหนึ่งกล่าวว่ามีชนวนมาจากการที่สุนัขทหารฝ่ายบัลแกเรียหลงเข้าไปในฝั่งกรีซ
อ้างอิง
[แก้]- ↑ สนธิสัญญาออริกอน ที่วิกิซอร์ซ เข้าถึงแหล่งข้อมูลเมื่อ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2006
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 Matthews, Todd. "The Pig War of San Juan Island". The Tablet. www.wahmee.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-09. สืบค้นเมื่อ 2012-09-07.
- ↑ Hayes, Derek (1999). Historical Atlas of the Pacific Northwest: Maps of exploration and Discovery. Sasquatch Books. pp. 171–174. ISBN 1-57061-215-3.
- ↑ 4.0 4.1 Phil Dougherty (28 February 2010). "The International Boundary Commission first meets on June 27, 1857". HistoryLink.org. Online Encyclopedia of Washington State History. p. 9328. สืบค้นเมื่อ 19 July 2013.
- ↑ Howay, Frederic William; Scholefield, Ethelbert Olaf Stuart (1914). McBride, Richard (บ.ก.). British Columbia: From the Earliest Times to the Present (ภาษาอังกฤษ). Vol. II (1st ed.). Vancouver, Canada: S.J. Clarke Publishing Company. pp. 303–306. doi:10.14288/1.0388847. ISBN 9781340270537. OCLC 647473053. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 7 March 2020. สืบค้นเมื่อ 14 June 2021 – โดยทาง หอสมุดยูบีซี (มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย).
- ↑ 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 "The Pig War". National Park Service, U.S. Department of the Interior. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-01-10. สืบค้นเมื่อ 2012-09-07.
- ↑ Howay, Frederic William; Scholefield, Ethelbert Olaf Stuart (1914). McBride, Richard (บ.ก.). British Columbia: From the Earliest Times to the Present (ภาษาอังกฤษ). Vol. II (1st ed.). Vancouver, Canada: S.J. Clarke Publishing Company. doi:10.14288/1.0388847. ISBN 9781340270537. OCLC 647473053. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 7 March 2020. สืบค้นเมื่อ 14 June 2021 – โดยทาง หอสมุดยูบีซี (มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย).
- ↑ Vouri, Michael (2013). Adams, Jim; Brockman, Lori (บ.ก.). The Pig War: Standoff at Griffin Bay (2nd ed.). Seattle, Washington, United States of America: Discover Your Northwest. pp. 174–176. ISBN 9780914019626.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 Vouri, Michael (2016). The Pig War. 164 S, Jackson, Seattle WA98104: Discover Your Northwest distributed by University of Washington. pp. 69–72. ISBN 978-0-914019-62-6.
{{cite book}}
: CS1 maint: location (ลิงก์) - ↑ 10.00 10.01 10.02 10.03 10.04 10.05 10.06 10.07 10.08 10.09 10.10 Woodbury, Chuck (2000). "How One Pig Could Have Changed American History". Out West #15. Out West Newspaper. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-08-06. สืบค้นเมื่อ 2006-10-16.
- ↑ Tagg, Larry (1998). "The Generals of Gettysburg". Savas Publishing. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 22, 2014. สืบค้นเมื่อ June 14, 2010.
- ↑ "Robert's Redoubt".
- ↑ "Belle Vue sheep farm".
- ↑ "Jackle's Lagoon".
- ↑ Vouri, Mike (2008). The Pig War. Charleston, S.C., Chicago,IL: Arcadia Publishing. ISBN 978-0-7385-5840-0.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 "The Pig War". San Juan Island National Historical Park. กรมอุทยานแห่งชาติสหรัฐ. สืบค้นเมื่อ 2009-06-19.
- ↑ Jewell, James Robbins (7 March 2015). "Chapter 1: Thwarting Southern Schemes and British Bluster in the Pacific Northwest" (PDF). ใน Arenson, Adam; Graybill, Andrew W. (บ.ก.). Civil War Wests: Testing the Limits of the United States (PDF) (ภาษาอังกฤษ) (1st ed.). เบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกา: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (ยูซีเพรส). pp. 19–20. doi:10.1525/9780520959576-002. ISBN 9780520959576. JSTOR 10.1525/j.ctt13x1gqn. OCLC 881875924. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 13 April 2021.
- ↑ Slaughter, Jim; Ragsdale, Gaut; Ericson, Jon L. (2012). Notes and Comments on Robert's Rules (Fourth ed.). Carbondale and Edwardsville: Southern Illinois University Press. p. 160. ISBN 978-0-8093-3215-1.
- ↑ 19.0 19.1 Vouri, Michael (1999). The Pig War: Standoff at Griffin Bay. Griffin Bay. pp. 273. ISBN 978-0-9634562-5-0.
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Baker, Betty (1969). The Pig War. HarperCollins Canada. ISBN 0060203331.
- Coleman, E.C. (2009). The Pig War: The Most Perfect War in History. The History Press. ISBN 978-0-7524-5227-2.
- Holtzen, Mark (2012). The Pig War. CreateSpace. ISBN 978-1475051360.
- Kaufman, Scott (2003). The Pig War. Lexington Books. ISBN 0739107291.
- Neering, Rosemary (2011). The Pig War: The Last Canada–US Border Conflict. Heritage House Publishing Co. Ltd. ISBN 978-1926936017.
- Victor, Frances Fuller (1891). . . J. B. Lippincott Co.
- Vouri, Michael (1999). The Pig War: Standoff at Griffin Bay. Griffin Bay Book Store. ISBN 0963456253.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- The Pig War, National Park Service
- The Pig War of San Juan Island
- San Juan Island Pig War – Part 1, HistoryLink.org
- Lyman Cutlar touches off Pig War between U.S. and Great Britain on June 15, 1859, HistoryLink.org
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่พฤษภาคม 2566
- สงครามหมู (ค.ศ. 1859)
- ข้อพิพาทพรมแดนแคนนาดา–สหรัฐ
- สงครามและความขัดแย้งที่ไม่มีผู้เสียชีวิต
- กรณีทางการทูต
- สงครามใน พ.ศ. 2402
- จอร์จ พิคเก็ท
- รัฐบริติชโคลัมเบียก่อนการรวมตัวเป็นสมาพันธรัฐ
- ประวัติศาสตร์ของรัฐวอชิงตัน
- ประวัติศาสตร์การทหารของแคนาดา
- ประวัติศาสตร์ของภูมิภาคแปซิฟิกนอร์ทเวสต์
- สงครามและความขัดแย้งในแคนาดา
- ชายฝั่งของรัฐบริติชโคลัมเบีย
- กรณีอนุญาโตตุลาการ
- ความสัมพันธ์ทางทหารสหรัฐ–สหราชอาณาจักร
- การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเจมส์ บูแคนัน