ลิมนัยดรา
ช่องเว้าในวิหารล่าง มีการเจาะหลุมเล็ก ๆ ที่ผิวก้อนหินเพื่อตกแต่ง | |
ที่ตั้ง | อิล-อเร็นดี มอลตา |
---|---|
พิกัด | 35°49′36″N 14°26′11″E / 35.82667°N 14.43639°E |
ประเภท | วิหาร |
ความเป็นมา | |
วัสดุ | หินปูน |
สร้าง | ประมาณ 3,600–3,200 ปีก่อน ค.ศ. |
สมัย | ระยะจกันตียา ระยะฮัลตาร์ชีน |
หมายเหตุเกี่ยวกับสถานที่ | |
ขุดค้น | ค.ศ. 1840–1954 |
ผู้ขุดค้น | เจ. จี. แวนซ์ ทิมิสโตคลีส แซมมิต จอห์น เดวีส์ เอวันส์ |
สภาพ | ซากปรักหักพังที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี |
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ | รัฐบาลมอลตา |
ผู้บริหารจัดการ | เฮริทิจมอลตา |
การเปิดให้เข้าชม | เปิด |
เว็บไซต์ | เฮริทิจมอลตา |
วิหารหินใหญ่แห่งมอลตา (ลิมนัยดรา) * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
ลิมนัยดราก่อนการสร้างโครงขึงผ้าใบ | |
ประเทศ | มอลตา |
ภูมิภาค ** | ยุโรปและอเมริกาเหนือ |
ประเภท | มรดกทางวัฒนธรรม |
เกณฑ์พิจารณา | (iv) |
อ้างอิง | 132 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 1980 (คณะกรรมการสมัยที่ 4) |
เพิ่มเติม | 1992, 2015 |
พื้นที่ | 0.563 เฮกตาร์ (1.39 เอเคอร์) |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
ลิมนัยดรา (มอลตา: L-Imnajdra) คือหมู่วิหารหินใหญ่แห่งหนึ่งที่พบบนชายฝั่งตอนใต้ของเกาะมอลตาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยู่ห่างจากหมู่วิหารหินใหญ่ฮาจาร์อีมประมาณ 497 เมตร สร้างขึ้นเมื่อประมาณสหัสวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช และถือเป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดีทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก[1] ใน ค.ศ. 1992 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนลิมนัยดราและโครงสร้างหินใหญ่อีก 4 แห่งในมอลตาเป็นแหล่งมรดกโลก โดยบรรยายว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็น "ผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนที่ใด"[2] และใน ค.ศ. 2009 งานขึงผ้าใบป้องกันบริเวณสิ่งก่อสร้างได้เสร็จสิ้น[3]
การออกแบบ
[แก้]ลิมนัยดราสร้างขึ้นจากหินปูนปะการังซึ่งแข็งกว่าหินปูนแพลงก์ตอนโกลบิเจอไรนาที่ใช้ในการสร้างฮาจาร์อีม โครงสร้างหลักภายในหมู่วิหารได้รับการก่อให้เหลื่อมออกมาทีละชั้นโดยใช้หินก้อนเล็ก ในขณะที่เสากับทับหลังก่อขึ้นโดยใช้หินก้อนใหญ่
ผังรูปดอกจิกของลิมนัยดราดูสม่ำเสมอกว่าผังของฮาจาร์อีมและชวนให้นึกถึงหมู่วิหารที่จกันตียาซึ่งสร้างขึ้นก่อนหน้า โครงสร้างยุคก่อนประวัติศาสตร์ประกอบด้วยวิหาร 3 หลังที่อยู่ติดกันแต่ไม่เชื่อมเข้าด้วยกัน ได้แแก่ วิหารบน วิหารกลาง และวิหารล่าง[4][5]
วิหารบนเป็นโครงสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในลิมนัยดราและมีอายุย้อนไปถึงระยะจกันตียา (3,600–3,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช) มีมุขโค้ง 3 มุข ทางเข้ามุขกลางมีผนังเตี้ยกั้นไว้ เสาหินหลักมีรอยตกแต่งที่เกิดจากการเจาะหลุมเล็ก ๆ เป็นแถว ๆ ตามพื้นผิวด้านใน[6]
วิหารกลางได้รับการสร้างขึ้น (หรืออาจรื้อสร้างใหม่) ในช่วงปลายระยะฮัลตาร์ชีน (3,150–2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช)[7] ช่องประตูหลักตรงกลางก่อขึ้นจากการเจาะเข้าไปในแผ่นหินตั้งแผ่นใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่พบบ่อยในการก่อช่องประตูหินใหญ่ที่อื่น ๆ ในมอลตา วิหารนี้แต่เดิมดูเหมือนจะมีเพดานทรงโค้ง แต่ปัจจุบันเพดานดังกล่าวเหลืออยู่เพียงส่วนฐานที่ด้านบนของผนังเท่านั้น[8] ฐานเพดานนี้เป็นโครงสร้างที่ก่อขึ้นท้ายสุดจากการเรียงก้อนหินซ้อนกันให้เป็นชั้นตามแนวนอน
วิหารล่างสุดสร้างขึ้นในช่วงแรกเริ่มระยะฮัลตาร์ชีน มีความโดดเด่นที่สุดและอาจเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมหินใหญ่ในมอลตา วิหารนี้มีลานด้านหน้าขนาดใหญ่ที่มีที่นั่งหิน ทางเข้าปูด้วยแผ่นพื้นซึ่งหนึ่งในนั้นยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน และซากของสิ่งที่อาจจะเคยเป็นหลังคาทรงโดม[9] วิหารได้รับการตกแต่งด้วยหินสลักลายก้นหอย ตามผนังภายในเจาะเป็นช่องหน้าต่าง บ้างเจาะเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีก้อนหินวางเรียงกันอยู่ในลักษณะเฉพาะ[7]
หน้าที่
[แก้]วิหารล่างสุดของลิมนัยดราวางตัวในทิศทางสอดคล้องกับดาราศาสตร์ และด้วยเหตุนี้วิหารดังกล่าวจึงอาจเคยเป็นสถานที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์หรือทางปฏิทิน[10] ในวันวสันตวิษุวัตและวันศารทวิษุวัต แสงอาทิตย์จะลอดผ่านช่องประตูหลักและทำให้แกนหลักสว่างไสว ส่วนในวันครีษมายันและวันเหมายัน แสงอาทิตย์จะส่องสว่างตามขอบของหินใหญ่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของช่องประตูนี้[11]
แม้จะไม่มีหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่ระบุวัตถุประสงค์ของการสร้างลิมนัยดรา แต่นักโบราณคดีได้อนุมานหน้าที่การใช้งานของวิหารเหล่านี้จากวัตถุที่ใช้ในพิธีกรรมที่พบในบริเวณวิหาร ได้แก่ มีดหินเหล็กไฟสำหรับการบูชายัญและรูเชือกที่อาจใช้สำหรับมัดสัตว์บูชายัญ (เนื่องจากมีการพบกระดูกสัตว์หลายชิ้น)[ต้องการอ้างอิง] โครงสร้างเหล่านี้ไม่ได้ใช้เป็นสุสานเนื่องจากไม่พบกระดูกมนุษย์[12] วิหารมีเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น ที่นั่งและโต๊ะหิน นอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุจำนวนมากภายในพื้นที่วิหาร แสดงว่าวิหารเหล่านี้เคยใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางศาสนา อาจใช้รักษาโรคหรือขอให้เกิดความอุดมสมบูรณ์[10]
การตีความร่วมสมัย
[แก้]แคทริน ราวน์ทรี นักมานุษยวิทยา ได้สำรวจว่า "วิหารยุคหินใหม่ของมอลตา" ซึ่งรวมถึงจกันตียา "ได้รับการตีความ โต้แย้ง และใช้ประโยชน์จากกลุ่มผลประโยชน์ท้องถิ่นและต่างถิ่นต่าง ๆ อย่างไร ได้แก่ ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ปัญญาชน และนักชาตินิยมชาวมอลตา นักล่า นักโบราณคดี ศิลปิน และผู้มีส่วนร่วมในขบวนการบูชาเทวสตรีทั่วโลก"[13]
แหล่งข้อมูลหนึ่งจากช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 วิเคราะห์ว่าผังรูปร่างคล้ายดอกจิกของลิมนัยดรา (คงหมายถึงวิหารบนเป็นหลัก) อาจเป็นตัวแทนของ "ปัจจุบัน อดีต และอนาคต (หรือการเกิด ชีวิต และความตาย)" ในขณะที่การเรียงตัวที่สอดคล้องกับแสงอาทิตย์อาจหมายความว่า "พลังงานเพศชายของพระอาทิตย์ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติในวิหารเหล่านี้เช่นกัน" และ "มารดาโลกได้รับการแทนด้วยรูปปั้น ในขณะที่บิดาพระอาทิตย์ได้รับการเคารพผ่านการวางตำแหน่งวิหารในลักษณะนี้"[14]
ระเบียงภาพ
[แก้]-
ผังหมู่วิหารลิมนัยดรา
-
ทิศทางแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องประตูวิหารล่างในวันสำคัญทางดาราศาสตร์
-
วิหารบนซึ่งเก่าแก่ที่สุดในหมู่วิหาร
-
บริเวณหมู่วิหารหลังการสร้างโครงขึงผ้าใบ
-
มุขโค้งในวิหารกลาง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Malta Temples and The OTS Foundation". Otsf.org. สืบค้นเมื่อ 2009-05-05.
- ↑ "Megalithic Temples of Malta - UNESCO World Heritage Centre". Whc.unesco.org. สืบค้นเมื่อ 2009-05-05.
- ↑ "Prehistoric temples get futuristic roof". Times of Malta. 2009-04-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 April 2009. สืบค้นเมื่อ 2009-07-02.
- ↑ Gunther, Michael D. "Plan Of The Temple Complex At Mnajdra". art-and-archaeology.com.
- ↑ "Mnajdra Temples, Malta". Sacred-destinations.com. สืบค้นเมื่อ 2009-05-05.
- ↑ "Places of Interest - Mnajdra". Maltavoyager.com. 1927-03-04. สืบค้นเมื่อ 2009-05-05.
- ↑ 7.0 7.1 "Heritage Malta". Heritage Malta. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-03-01. สืบค้นเมื่อ 2013-03-26.
- ↑ "National Inventory of the Cultural Property of the Maltese Islands" (PDF). Government of Malta. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 23 September 2015. สืบค้นเมื่อ 23 March 2013.
- ↑ "ĦaÄ¡ar Qim and Mnajdra (2)". Beautytruegood.co.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-05. สืบค้นเมื่อ 2009-05-05.
- ↑ 10.0 10.1 "Malta". Sacredsites.com. สืบค้นเมื่อ 2009-05-05.
- ↑ "Equinox at Mnajdra Temples » Chris and Marika's Online Journal". Chrisf.com.au. 2004-09-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-30. สืบค้นเมื่อ 2009-05-05.
- ↑ "Hypogeum,Tarxien & Malta as tip of Atlantis". Carnaval.com. 2002-06-22. สืบค้นเมื่อ 2009-05-05.
- ↑ Rountree, Kathryn (2002). "Re-inventing Malta's neolithic temples: Contemporary interpretations and agendas". History and Anthropology. 13: 31–51. doi:10.1080/02757200290002879. S2CID 154790343 – โดยทาง ResearchGate.
- ↑ "Malta's NeolithicTemples". www.carnaval.com. สืบค้นเมื่อ 2021-03-28.