ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปริญญ์ พานิชภักดิ์"

ปริญญ์ พานิชภักดิ์ นักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์^[1] อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ อดีตคณะทำงานของรองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์^[2] และอดีตประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์^[3]

ในวันที่ 14 เมษายน พ.ศ 2565 ปริญญ์ลาออกจากทุกตำแหน่งทางการเมือง สืบเนื่องจากข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ โดยปริญญ์ปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำตามข้อกล่าวหาดังกล่าว^[4] ต่อมาปริญญ์ได้รับการประกันตัวจากคดีล่วงละเมิดทางเพศ แต่มีเงื่อนไขห้ามออกจากราชอาณาจักร^[5]

(29 ก.ย. 2566) เฟซบุ๊ก Nat Thanakitamnuay ของ ‘ลูกนัท ธนัตถ์’ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเพจ "Nat Thanakitamnuay" ระบุว่า ข้อความระบุว่า “ศาลตัดสินให้จำคุกนายปริญญ์ 6 ปี ลดโทษจำคุกเหลือ 4 ปี พิพากษาให้ชำระค่าเสียหายให้คุณแอนนา จำนวน 2,000,000 บาทครับ…”

นอกจากนี้ ยังได้ระบุข้อความว่า “ขอบคุณแอน เธอเก่งมากๆ เลยนะ อยากให้สิ่งที่เราเรียนรู้จากสิ่งนี้ คือน้ำหนักของคำให้การของพยานผู้เป็นผู้เสียหาย สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะหลักฐานที่มีอยู่ในความทรงจำอันเลวร้ายที่เธออยากลืม แต่ต้องท่องจำสิ่งเหล่านั้นด้วยความจำเป็นที่จะต่อสู้เพื่อคนอื่น ในขบวนการไม่ยุติธรรม ไม่ต้องเป็นเหยื่อเป็นผู้เสียหาย ไม่ต้องเป็นพยานคนเดียวในคดีของตัวเอง

เราไม่ได้มาเพื่อร้องขอต่อศาล แต่เรามาเพื่อชี้ให้ศาลมองเห็น ความบกพร่องของกฎหมาย ที่ผลักภาระในการพิสูจน์เป็นของผู้ที่ถูกทำรัาย ให้รู้สึกราวกับว่า เธอเป็นจำเลยในคดีที่ตัวเองเป็นโจทก์ ชะตากรรมของผู้ที่ถูกทำให้รู้สึกไร้อำนาจ ไร้เสียง ไร้ความเชื่อมั่น กฎแห่งกรรมที่เค้าหลอก มันไม่มีหรอก เพียงแต่ข้ออ้างที่ถูกใช้ ในวันที่ความยุติธรรมไม่มี วันนึงเราคงเห็นขบวนการยุติธรรม ที่ไม่เป็นเพียงเครื่องมือการปกครอง มองเห็นคุณค่าของคนเท่ากัน

ขอบคุณเธอ Anna Vidhyaphum ที่ร่วมเดินทางสร้างโลกที่มีผู้ล่าละเมิดผู้บริสุทธิ์ ลดลงไปอีก 1 และกฎหมายเห็นเชื่อว่า สิ่งที่ผู้ประสบภัยต้องผ่านมา คือฝันร้ายที่ไม่สามารถลบเลือนออกไปได้ แต่จงเข้มแข็ง เชื่อมั่น อดทน จนกว่ากฎหมายจะเห็นว่าใครคือคนร้าย”^[6]

ปริญญ์ พานิชภักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2520 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรชายของศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก, อดีตเลขาธิการอังค์ถัด และนางศสัย พานิชภักดิ์ มีน้องสาว 1 คน คือ นางสาวนฤน พานิชภักดิ์

ปริญญ์เข้าศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ก่อนจะย้ายไปศึกษาระดับไฮสคูลต่อที่โรงเรียนมิลล์บรูกเฮาส์ และโรงเรียนชาร์เตอร์เฮาส์ ประเทศอังกฤษ ต่อมาสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิต (เศรษฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) จากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน เมื่อปี พ.ศ. 2542

หลังจากนั้น ปริญญ์ได้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงอีกหลายครั้ง อาทิ หลักสูตรประกาศนียบัตรผู้บริหารระดับสูงจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการธุรกิจและอุตสาหกรรม (วธอ.) รุ่นที่ 2, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 15

ปริญญ์ พานิชภักดิ์ เริ่มต้นชีวิตการทำงาน ด้วยการเป็นนักเศรษฐศาสตร์และการเงิน ตั้งแต่พ.ศ. 2542 ในตำแหน่งวาณิชธนากร ที่ ธนาคารเอบีเอ็นแอมโร สหราชอาณาจักร^[7], รองประธานที่ประชุมธุรกิจอาเซียน-สหราชอาณาจักร (AUBF)^[8], ผู้ร่วมก่อตั้งเทศกาลภาพยนตร์ไทย-สหราชอาณาจักร, รองประธานสายการตลาดและวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ด็อยท์เชอบังค์-ทิสโก้, หัวหน้าสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ เครดิต ลียองเนส์, ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการลงทุนภูมิภาคเอเชีย บริษัท เครดิต ลียองเนส์ ฮ่องกง, กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ

ปริญญ์ยังเคยดำรงตำแหน่งในหน่วยงานของประเทศไทย ได้แก่ ที่ปรึกษาสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ, กรรมการสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย, กรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์, กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ, กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย^[9], ที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, กรรมาธิการคณะกรรมาธิการวิสามัญการศึกษาผลกระทบ CPTPP รัฐสภา และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามลำดับ

ในปี พ.ศ. 2562 ปริญญ์ได้ก้าวเข้าสู่การทำงานด้านการเมือง ด้วยตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) รวมถึงเป็นที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา รัฐสภา และเลขาธิการคณะอนุกรรมการทรัพย์สินทางปัญญา รัฐสภาด้วย

นอกจากนั้นใน พ.ศ. 2563 ปริญญ์ก็ได้ช่วยขับเคลื่อนภาคการเกษตรด้วยการเข้ารับตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีผลงานเป็นที่รู้จัก อาทิ ผลักดันนโยบายบาซูก้า 2 ล้านล้านบาท^[10] โครงการเรียนจบพบงาน^[11] โครงการแก้ปัญหาสินค้ามังคุดล้นตลาด^[12] เป็นต้น

ต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 ปริญญ์ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อช่วยสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2565^[13]

นอกจากนี้ ปริญญ์ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งร้านอาหารโฟร์ซีซันในประเทศไทย^[14] กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการยุคใหม่ กระทรวงพาณิชย์, กรรมการ บริษัทสินวัฒนา คราวด์ฟันดิง และกรรมการมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด^[15]

ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2565 ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของตน ระบุมีหญิงสาวมาปรึกษาว่าถูกนักการเมืองระดับรองหัวหน้าพรรคคนหนึ่งหลอกให้มาคุยเรื่องหุ้นและเศรษฐศาสตร์ แต่พอมาพบตัวจริงกลับถูกลวนลามทั้งคำพูดและการกระทำ โดยผู้เสียหายดังกล่าวเตรียมหลักฐานเข้าดำเนินคดีกับนักการเมืองผู้นี้ ซึ่งในโพสต์นั้นษิทราได้คอมเมนต์ด้วยรูปเอโมจิแมลงสาบ และยังกล่าวด้วยว่า "คนนี้พ่อใหญ่มาก ดังระดับโลก"^[6] ผู้ใช้โซเชียลบางรายเชื่อมโยงเบาะแสดังกล่าวและคาดเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับปริญญ์^[4] นอกจากนี้ษิทรายังระบุด้วยว่า ยังมีผู้เสียหายที่ถูกนักการเมืองดังกล่าวล่วงละเมิดทางเพศอีกจำนวนหนึ่ง และกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวมิได้เกี่ยวข้องกับการเมือง^[16] ด้านราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าหากผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกของพรรคจริง ก็พร้อมที่จะยอมรับและเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย^[6]

ต่อมาในวันที่ 14 เมษายน ปริญญ์ได้แถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยกล่าวว่าตนช็อกและตกใจกับกระแสข่าวนี้ พร้อมประกาศแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากทุกตำแหน่งทางการเมือง และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ปริญญ์ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาตามที่ผู้เสียหายอ้าง และขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชน^[4] โดยก่อนหน้านั้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์เดอะเมล์อินซันเดย์ ในเครือเดลิเมล์ รายงานว่า ปริญญ์ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีข่มขืนสตรีวัย 18 ปี^{[17][ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้]} ต่อมาในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ของสหราชอาณาจักรได้ลงข่าวว่า ปริญญ์ขึ้นศาลในย่านแบล็กแฟรส์ของลอนดอน สืบเนื่องจากข้อหาข่มขืนหญิงสาววัย 18 และ 27 ปี^[18] ซึ่งปริญญ์ระบุในการแถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองว่า คดีความดังกล่าวนั้นสิ้นสุดไปนานแล้ว^[4]

ในวันที่ 16 เมษายน ปีเดียวกัน ปริญญ์ได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ จำนวน 3 คดี ที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี พร้อมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา สอดคล้องกับที่เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนหน้านั้น^[19] วันต่อมา พนักงานสอบสวน สน. ลุมพินี ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังเขาต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ทนายของปริญญ์ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวทั้งสามคดีรวม 700,000 บาท ซึ่งศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว แต่ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และแจ้งให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ^[5]

ขณะเดียวกัน มีการเปิดเผยประวัติการสนทนาระหว่างปริญญ์กับหญิงสาวอายุ 17 ปีรายหนึ่งในโปรแกรมเฟสบุ๊กเมสเซนเจอร์ ในเชิงชักชวนให้ไปเที่ยวสถานบันเทิงกลางคืนด้วยกัน และกับสตรีอีกรายในไลน์ ซึ่งปริญญ์ได้ให้ไอดีไลน์ส่วนตัวพร้อมขอให้เธอช่วยประชาสัมพันธ์ตราสินค้า^[20] นอกจากนี้ยังมีหญิงอายุ 25 ปี แจ้งความที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยอ้างว่าปริญญ์เคยลวนลามเธอ^[21] หญิงอีกคนอ้างว่าเมื่อปี พ.ศ. 2561 ขณะที่เธอฝึกงานที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ปริญญ์ซึ่งในขณะนั้นเป็นกรรมการ ตลท. ได้เข้ามาใช้วาจาและกิริยาลวนลามเธอ^[22] และยังมีผู้เสียหายจากการกระทำของปริญญ์เข้าแจ้งความอีกจำนวนหนึ่ง^[23]

ทั้งนี้ พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่ายังไม่มีผู้เสียหายจากการกระทำของปริญญ์ถอนแจ้งความ^[24] ด้านพลตำรวจตรี ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ระบุว่าจนถึงวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2565 มีผู้เข้าแจ้งความแล้ว 14 คน โดยส่วนใหญ่เป็นเหตุที่เกิดในพื้นที่ บช.น.^[25]

ต่อมาในวันที่ 21 เมษายน ษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่ามีผู้เสียหายรายที่ 15 เข้าแจ้งความกับตำรวจเพิ่มเติม และยังระบุด้วยว่ามีตำรวจชั้นนายพลเข้าพูดคุยกับผู้ปกครองของผู้เสียหายรายแรก เพื่อชักจูงไม่ให้ความร่วมมือในคดี^[26] ด้านพลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่ายังไม่มีนายตำรวจเข้าแทรกแซงการดำเนินคดีแต่อย่างใด^[27]

ในช่วงต้น พรรคประชาธิปัตย์มีท่าทีไปในทางที่ปฏิเสธ ไม่ทราบเรื่อง และเห็นว่า ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก เมื่อนายปริญญ์ลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรค ก็มีสมาชิกพรรคส่วนหนึ่งแสดงความชื่นชมและให้กำลังใจนายปริญญ์ กับมีการแสดงความเห็นว่าอาจเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมืองอีกด้วย ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงท่าที โดยสมาชิกพรรคมีความกังวลต่อกรณีของปริญญ์เป็นอย่างยิ่ง^[28] ทั้งนี้ กรรมการบริหารพรรคที่เป็นสตรี ได้ออกมาแสดงความเสียใจมายังผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมขอโทษประชาชนและน้อมรับคำวิจารณ์ต่อพรรค อาทิ พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล^[29] และรัชดา ธนาดิเรก^[30] เป็นต้น

ในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2565 จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค พร้อมแกนนำ ได้แถลงข่าว ณ ที่ทำการพรรค จุรินทร์กล่าวว่ารู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพรรคจะตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง แก้ไขปัญหา พร้อมทั้งเยียวยาผู้เสียหายจากการกระทำของปริญญ์ นอกจากนี้ เขายังประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายสตรีแห่งชาติอีกด้วย โดยเป็นการลาออกหลังจากที่องค์การภาคประชาสังคมด้านสิทธิสตรีหลายองค์การรวมตัวเรียกร้องให้มีการปลดจุรินทร์^[31]

อนึ่ง แหล่งข่าวภายในพรรคประชาธิปัตย์มีการเปิดเผยว่า การตั้งปริญญ์เป็นรองหัวหน้าพรรค เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กรณ์ จาติกวณิช ลาออกไปตั้งพรรคกล้า และเมื่อกรณ์ออกจากพรรคไปแล้ว ก็มีการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่จุรินทร์ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคกลับนิ่งเฉย จนกระทั่งเมื่อษิทราออกมาให้ข่าว ทำให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์รู้สึกอึดอัดและหงุดหงิด เนื่องจากกรณีอื้อฉาวดังกล่าวกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านจริยธรรม ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สุดของพรรค^[32]

จากกรณีอื้อฉาวดังกล่าว องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านความรุนแรงต่อผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ 16 องค์กร ออกแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ตรวจสอบประวัติการล่วงละเมิดทางเพศในกระบวนการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งภายในพรรค หากมีการช่วยเหลือหรือปล่อยปละละเลย ผู้ที่อยู่ในกระบวนการดังกล่าวต้องแสดงความรับผิดชอบ และให้นายกรัฐมนตรีปลดจุรินทร์จากตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหลังจากแถลงการณ์ข้างต้น จุรินทร์ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว^[33]

นอกจากนี้ กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก และราษฎรมูเตลู ซึ่งเป็นแนวร่วมกลุ่มประท้วงทางการเมืองในไทย ได้จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์บริเวณที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมยื่นข้อเรียกร้องให้ทางพรรคขอโทษประชาชนอย่างจริงใจ ไม่แทรกแซงกระบวนการสอบสวนในคดีของปริญญ์ มีข้อกำหนดทางจริยธรรมซึ่งต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศและความรุนแรงทุกรูปแบบ บังคับใช้แก่กรรมการบริหารพรรคและผู้สมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองทุกคน ซึ่งรัชดา ธนาดิเรก ในฐานะตัวแทนพรรค ได้รับปากว่าจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาและปฏิบัติ^[34]